เทศน์เช้า วันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๖๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรมะ เพราะโลกบอก ‘ธรรมะเป็นธรรมชาติ’ ก็เลยแขวนไว้บนอากาศเหมือนก้อนเมฆ ‘ธรรมะเป็นธรรมชาติ’ แขวนไว้บนอากาศแล้วก็ตะเกียกตะกายปีนก้อนเมฆเพื่อจะค้นหาธรรมะกัน
แต่สัจธรรมความจริงๆ นะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นไง รื้อค้น รื้อค้นในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เวลาหลวงตาท่านไปหาหลวงปู่มั่นไง ท่านศึกษาจนจบเป็นมหานะ เวลาจบเป็นมหาแล้วอยากจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันก็ยังลังเลสงสัย เพราะความลังเลสงสัยคือเรายังมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของเราอยู่
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสะอาดบริสุทธิ์ยอดเยี่ยม บอก ธรรมไม่เคยเสื่อม ธรรมไม่เคยเสื่อม ธรรมไม่เคยเสื่อมคือสัจธรรมไม่เคยเสื่อม แต่มนุษย์เราเสื่อม มนุษย์เราชราคร่ำคร่า มนุษย์เรามีความทุกข์ความยากในหัวใจ มนุษย์เราโดนเหยียบย่ำด้วยกิเลสตัณหาความทะยานออยาก แต่เราก็อ้างธรรมะ อ้างธรรมะกันอยู่นั่นน่ะนะ เวลาอ้างธรรมะๆ
เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาวางธรรมและวินัยนี้ไว้ วางธรรมและวินัยนี้ไว้ให้เราศึกษาค้นคว้า ศึกษาค้นคว้าเป็นธรรมโอสถ เป็นธรรมโอสถเพื่อผ่อนคลายหัวใจเราไม่ให้ทุกข์ไม่ให้ร้อนจนเกินไป
แล้วผู้ที่มีอำนาจวาสนานะ เวลาเขาจะประพฤติปฏิบัติของเขาเพื่อหัวใจ ยกหัวใจขึ้นให้มันสูงส่งขึ้นมา ถ้าหัวใจมันสูงส่งขึ้นมา หัวใจสูงส่งขึ้นมาด้วยอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
แต่เวลาเรื่องของโลกๆ เรื่องของอภิญญา ความรู้ความเห็นต่างๆ ที่ในโลกนี้มันเป็นเรื่องธรรมชาติ ธรรมชาติของกิเลสไม่ใช่ธรรมชาติของธรรม ธรรมชาติของกิเลส ธรรมชาติความรู้ความเห็นของเรานี่ไง ถ้าความรู้ความเห็นของเรามันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจใช่ไหม
ถ้ามีกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจ คนมีอำนาจวาสนามากน้อยแค่ไหนมันก็เชื่อความรู้สึกความนึกคิดของมันนั่นแหละ ความรู้สึกความนึกคิดเพราะอะไร เพราะเราเป็นคนรื้อ เราเป็นคนเห็นเอง
คนที่ไม่เคยทำสิ่งใดเลย พอมาเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา มันบอกว่าเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ มันได้ลงทุนลงแรงแล้ว มันได้ทำความยิ่งใหญ่ของมันแล้ว เวลามันรู้มันเห็นขึ้นมามันยิ่งเชื่อใหญ่เลย เชื่อเพราะอะไร เชื่อเพราะเรานั่งสมาธิไง เรานั่งสมาธิ เราเดินจงกรมแล้วเรารู้เราเห็นไง
มันเชื่อความเห็นของมันไง
แต่หลวงปู่ดุลบอกว่า ที่เอ็งเห็น เห็นจริงไหม จริง เห็นจริงๆ นั่นแหละ แต่ความเห็นเอ็งไม่จริงเลย ไม่จริงเลย ไม่จริงเพราะอะไร
ไม่จริงเพราะมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของตนไง ถ้ามีกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยนี้ไว้ วางธรรมวินัยนี้ไว้ไง
เวลาเราพาลูกพาหลานมาวัดมาวาพามาเพื่ออบรมเพื่อบ่มเพาะ อบรมบ่มเพาะขึ้นมาให้เป็นคนดีๆ เวลาเป็นคนดี พระพุทธศาสนา วัฒนธรรมประเพณีสอนให้คนเป็นคนดี เวลาเป็นคนดีแล้ว ประเพณีวัฒนธรรม เวลางานบวชนาค งานต่างๆ ก็ยังไปทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่นั่นไง
คนดีๆ ไปทะเลาะเบาะแว้งกันทำไมไง เราเห็นลูกเห็นหลานเรา เราจะบ่มเพาะให้เป็นคนดี บ่มเพาะให้จิตใจเป็นสาธารณะ บ่มเพาะขึ้นมา แต่เวลาคนที่มีอำนาจวาสนาเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราจะบ่มเพาะหัวใจของเรา ถ้าเราจะบ่มเพาะหัวใจของเรา เราจะบ่มเพาะอย่างไร
ถ้าบ่มเพาะหัวใจของเรา เวลาเราจะบ่มเพาะหัวใจของเรา เราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันต่อต้านๆ ทั้งนั้นน่ะ มันต่อต้านคือว่า “มันลำบากมันลำบน มันเป็นความทุกข์ความยาก ชีวิตนี้ก็ทุกข์ยากพอแรงอยู่แล้ว เรายังต้องหาอะไรมาเป็นความทุกข์ความยากมากขึ้นไปอีก”
แต่ถ้าคนมีสติปัญญา ความทุกข์ความยาก เราเกิดมา เกิดมาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันมีความทุกข์อย่างนี้ ถ้าความทุกข์ความยากอย่างนี้เกิดซ้ำๆ ซากๆ ชีวิตของเราเกิดมาแต่ละภพแต่ละชาติถ้ามันมีโอกาสมันก็ได้ประสบความสำเร็จในชีวิต ถ้าเกิดมาแล้วถ้ามันขาดตกบกพร่องขึ้นไป ขาดตกบกพร่องไปจนพิกลพิการไปก็มี ขาดตกบกพร่อง เกิดมาแล้วปากกัดตีนถีบ
เวลาคนเกิดมา เกิดมาคาบช้อนเงินช้อนทองมานี่ เกิดมาพ่อแม่บ่มเพาะดูแลรักษาเป็นยอดเยี่ยมเลย แล้วเวลายอดเยี่ยมขึ้นมาเขาจะมีสติปัญญาต่อเนื่องของเขาไปหรือไม่
ถ้าบ่มเพาะหัวใจของตนๆ ถ้ามันมีสติปัญญามันเข้าใจของมันได้ มันเห็นความทุกข์ความยาก ความทุกข์ความยากในการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ความทุกข์ความยากต้องปากกัดตีนถีบ ความทุกข์ความยากต้องแบกภาระความทุกข์ความยากไปทั้งสิ้น
เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติ เวลาประพฤติปฏิบัติเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร ท่านคอยคุ้มครองดูแลเรา แต่เวลาท่านปรารถนาความสุขในใจของท่าน ท่านก็อยากจะอยู่ของท่านโดยเอกเทศ
แต่เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เวลาเราทุกข์เรายากขึ้นมาถ้าเรามีสติปัญญาเราจะดัดแปลงตนเองไง บ่มเพาะหัวใจๆ มันพอใจทำ มันพอใจที่จะประพฤติปฏิบัติไง
เวลาปฏิบัติไปแล้วถ้ามันไม่สมความปรารถนา ปฏิบัติไปแล้วเล่ห์กลของกิเลสเราไม่เท่าทันมัน เวลามันดีมันหลอกมันล่อนะ เวลาคนเราจิตใจมันดีขึ้นๆ อู้ฮู! ว่างๆ ว่างๆ ดีไปหมด
ดีไปหมดคือการขาดการรักษา ขาดสติ ขาดการคุ้มครองดูแลนะ เดี๋ยวมันถอยกรูดๆ ขึ้นมานะ แล้วกู้ไม่ขึ้น เวลามันเจริญแล้วเสื่อมนะ โอ้โฮ! มันปากกัดตีนถีบ สิ่งต่างๆ อย่างนี้เวลาครูบาอาจารย์ท่านถึงมีข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมาเพื่อให้มันทรงไว้ๆ ไง ทรงไว้คือพยายามอย่าให้มันเสื่อม พยายามอย่าให้มันท้อแท้ไป
นี่ไง พูดถึงคนที่มีวาสนานะ ถ้าคนมีวาสนาเขาทำไง ดูสิ เวลาเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาเสียเวลาไปนะ ๕ ปี ๑๐ ปี พระเราบวชทั้งชีวิต ชีวิตหนึ่งถ้าคนที่ยังมีความกล้าหาญ ชีวิตหนึ่งคนยังอยู่ในทางจงกรม เดินจงกรม นั่งสมาธิทั้งชีวิตนี้ ทั้งชีวิตแล้วมันได้อะไรมา
นี่ไง เวลาเราทำหน้าที่การงานของเรา เราทำธุรกิจของเรา เราจะมีผลตอบแทนๆ แต่เวลาพระเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาทั้งชีวิตนี้มันได้ผลอะไรมา ไปวิเคราะห์ทางเศรษฐกิจ สูญเปล่า ชีวิตทั้งชีวิตเลย เห็นเดินไปก็เดินมา เดินอยู่ทางจงกรมนั่นน่ะ เดินไปก็เดินมาไม่เห็นได้อะไรขึ้นมา แล้วนั่งสมาธิทั้งวันเลย แล้วมันได้อะไรมา
มันได้อะไรมามันก็อยู่ที่หัวใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ นี่มันอัตตสมบัติๆ อัตตสมบัติ สมบัติของใจๆ ถ้าสมบัติของใจนะ
ไอ้ว่า เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาทั้งชีวิตเลยเราไม่ได้อะไรมา อันนี้เราวิเคราะห์ในระบบเศรษฐกิจ
แต่ในวงกรรมฐานนะ เวลาเราอยู่กับหมู่คณะ เดินจงกรมทั้งวันทั้งคืน พระงงแล้วล่ะ พระงงหมดเลยนะ “เฮ้ย! ท่านทำอย่างนั้นได้อย่างไร ถ้าท่านทำได้แสดงว่าในหัวใจของท่านต้องมีงานทำ”
เพราะพระเขามาพูดกับเราเองบอกว่า เขาเดินจงกรมชั่วโมงสองชั่วโมงเขาทนไม่ได้แล้ว นั่งสมาธิเขาทนไม่ได้หรอก เขาบอกนั่ง ๓๐ นาทีเขาทนไม่ได้ พระนะ พระมาปรึกษา เพราะเขาสังเกตุเรา เอ๊! เดินจงกรมได้อย่างไรทั้งวันทั้งคืน
เดินตลอดๆ เพราะมันพอใจ คำว่า “พอใจๆ” พอใจคือว่าคนมีวาสนา ถ้ามันเดินจงกรมแล้วมันจะได้ไม่ได้ขึ้นมามันก็เป็นโอกาสใช่ไหม
แล้วทุกคนเรียกร้องโอกาสๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “ปฏิบัติบูชาเราเถิด” เราก็พยายามปฏิบัติบูชาๆ แต่ปฏิบัติบูชาแล้วมันจะได้ผลหรือไม่ได้ผลมันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก มันไม่มีครูบาอาจารย์องค์ไหน มันไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันไม่มีใครหรอกที่จะมาให้ค่าหรือทำให้เราเสื่อมค่าได้
ความมีค่าหรือความเสื่อมค่า อัตตสมบัติในใจของเรามันเป็นสมบัติของเรา แต่ต้องให้มันเป็นสัมมาทิฏฐิที่ถูกต้องดีงาม อย่าให้กิเลสมันมาหลอกมาล่อ “สมบัติภายนอก สมบัติภายใน สมบัติภายในๆ เวลาบ่มเพาะหัวใจก็สมบัติภายใน” สมบัติภายในแล้วจบแล้ว สมบัติภายในแล้วกูพูดอย่างไรก็ได้
หลวงปู่ตื้อท่านพูดเอง ท่านบอกเลยนะ ระลึกอดีตชาติ ระลึกอดีตชาติถามเราได้เลย นี่หลวงปู่ตื้อท่านพูดนะ ระลึกอดีตชาติ ใครอยากรู้อดีตชาติอะไรให้ถามเรา ยิ่งพันปีที่แล้ว สองพันปีที่แล้วยิ่งดีใหญ่เลย เพราะมันตรวจสอบไม่ได้
ท่านพูดนะ ทั้งๆ ที่ท่านรู้จริงนะ หลวงปู่ตื้อท่านไม่ใช่พระธรรมดาหรอก ท่านยอดเยี่ยม แต่เวลาท่านพูด คนรู้จริงท่านพูดอย่างนี้ เวลาท่านเทศน์ท่านพูดเอง เราฟังแล้วแหม! มันฝังใจ ท่านบอกเลยนะ “ไอ้พวกที่อยากรู้อดีตชาติ อยากรู้อดีตชาติให้มาถามเราๆ ไอ้ยิ่งพันปีที่แล้ว สองพันปีที่แล้วยิ่งดีใหญ่เลย เพราะมันตรวจสอบไม่ได้ไง”
นี่สมบัติภายใน เวลายกเข้าภายในแล้วอยู่ที่มันจะโกหกมดเท็จ อยู่ที่มันจะกะล่อน อยู่ที่มันจะปลิ้นปล้อน
แต่ถ้ามันเป็นสัจจะความจริงนะ ถ้าอัตตสมบัติแล้วมันทำไม่ได้ มันทำไม่ได้เพราะอะไร มันทุจริต ทุจริตจากภายนอก ทุจริตจากภายใน มโนกรรม จิตใจที่มันเคลื่อนไหว
คนที่ประพฤติปฏิบัติ อย่างเริ่มต้นที่เรา ขณะที่เราตั้งศรัทธาขึ้นมาเพื่อเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เรามีคุณสมบัติ เดินจงกรมทั้งชีวิต เราทำของเราๆ เราตั้งใจของเรา เราแสวงหาของเรา เราพอใจที่จะทำอยู่แล้ว เรามีความสัตย์ เรามีซื่อสัตย์สุจริตกับคุณธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นความจริง แต่คนถ้ามันไม่จริง เข้าถึงสัจธรรมอันนั้นไม่ได้เด็ดขาด ถ้ามันกะล่อนปลิ้นปล้อนมันก็ติดที่กะล่อนปลิ้นปล้อนแค่นั้น ไอ้กะล่อนปลิ้นปล้อนนั้นเป็นกำแพงที่ขวางไว้ตรงที่มันกะล่อนปลิ้นปล้อน เพราะการกะล่อนปลิ้นปล้อนนี้มันตั้งขึ้นมา มันเป็นคนคิดขึ้นมา มันเป็นคนสร้างกำแพงนั้นขึ้นมา แล้วมันก็ติดกำแพงของมัน มันทะลุกำแพงนั้นไปไม่ได้
กำแพงนั้นคือทิฏฐิมานะของมัน
ศึกษาธรรมะมามาก รู้เยอะมาก มันติดในกำแพงทิฏฐิมานะของมัน มันจะเข้าถึงความเป็นจริงไม่ได้
ถ้าเข้าถึงความเป็นจริงได้ ครูบาอาจารย์เรา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงตาท่านพูดประจำ “ผู้รู้มีนะ ผู้รู้มีนะ” คือผู้รู้นี้ท่านได้เดินทางเส้นทางนี้แล้ว เส้นทางนี้ คนที่เดินเส้นทางนี้จนไปถึงปลายทางแล้วเขาจะรู้ว่าเริ่มต้นกระบวนการจากต้นทาง ท่ามกลาง ถึงที่สุดมันมีกระบวนการของมัน
ไอ้นี่ติดกำแพงของตนแล้วก็บอก “เออ! นิพพานๆ นิพพานเป็นความว่าง”
ความว่างก็อวกาศไง ความว่างเดี๋ยวนี้เขาปล่อยดาวเทียมขึ้นไปเต็มไปหมดเลย ไม่ว่างแล้ว ดาวเทียมมันอยู่รอบโลก เพราะว่าธุรกิจใครธุรกิจมัน ธุรกิจใครก็จะยึดอวกาศเพื่อจะปล่อยดาวเทียม เพื่อจะแสวงหาผลประโยชน์ ว่างไหม แม้แต่อวกาศมันยังแย่งชิงพิกัดกันเลย เพื่ออะไร เพื่อปล่อยดาวเทียมกันนั่นน่ะ แล้วของเราล่ะ นี่พูดถึงว่าจะบ่มเพาะหัวใจของตนไง
วันนี้วันพระ เราสังเวชนะ สังเวชมาก เพราะอะไร เพราะทุกคนแสวงหาที่พึ่งที่อาศัย เราเป็นคนหนึ่ง ก่อนบวชเราก็ขวนขวายของเราเต็มที่ เราตะเกียกตะกายเต็มที่ ศึกษามาทั้งสองนิกาย ทั้งมหานิกาย ทั้งธรรมยุต ศึกษาทั้งนั้นเพื่อจะหาที่ลงใจ หาที่ลงใจ หาคนสอน หาคนที่ชี้นำได้ ถ้าหาคนชี้นำได้ หาคนบอกได้ เราจะไปทางนั้น เราถึงได้มาบวชทางนี้ เพราะทางนี้มีครูบาอาจารย์ที่จะชี้นำได้ แล้วชี้นำได้จริงๆ
เวลาชี้นำได้จริงๆ หมายความว่า เวลาภาวนาไปแล้วไปรู้ไปเห็นมหาศาลเลย ถ้าไปหาคนที่เขาไม่เป็น เราก็พูดข่มขี่เขาได้ด้วย เรารู้เราเห็น เวลาเขามาถามปัญหาขึ้นมานี่ โอ้โฮ! ไปรู้ไปเห็นนึกว่าวิเศษ
โธ่! เราเป็นทั้งนั้นน่ะ นั่งอยู่นี่ นั่งเลย จิตสงบแล้วเห็นซากศพเลย เห็นซากศพมันนอนอยู่ข้างหน้า ซากศพพลิกให้ดูเลย เราไปถามพระบอกว่า “นี่มันคืออะไร”
เขาบอก “ตัวท่านเอง”
เถียงนะ ตัวเราได้อย่างไร ก็เราเห็นซากศพ มันจะเป็นตัวเราได้ไง เรานั่งอยู่นี่ นั่นมันซากศพน่ะ ยังเถียงเขาในใจนะ แต่ภาวนาไปๆ ไม่ต้องเถียงหรอก มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ข้อเท็จจริงคือมันเห็นซากศพ
แต่มันเป็นวิทยาศาสตร์ไง ก็เรานั่งอยู่นี่ เรายังไม่ได้ตาย แล้วมันจะเป็นซากศพไปได้อย่างไร แล้วซากศพก็มากองอยู่ข้างหน้าน่ะ แล้วไม่กองอยู่ข้างหน้าธรรมดานะ ซากศพมันพลิกให้ดูด้วย พลิกไปพลิกมา พลิกมาพลิกไป
ตอนนั้นภาวนาใหม่ๆ ยังไม่รู้นะน่ะ ยังไปถามเขา “นั่นคืออะไรน่ะ นั่นคืออะไรน่ะ” นี่ขนาดเราเห็นขนาดนั้นนะเรายังไม่เชื่อเลย เรายังถามเลยว่ามันคืออะไร แล้วไปถามพระด้วย แล้วพระก็ตอบว่านั่นน่ะคือตัวของท่านเอง
เถียงเขาฉอดๆ ฉอดๆ เลยล่ะ แล้วรู้เห็นอะไร
นี่พูดถึงว่าเวลาเราจะประพฤติปฏิบัติเราหาครูหาอาจารย์ หาครูหาอาจารย์แล้วหาคนที่ชี้ได้บอกได้ แล้วชี้ได้บอกได้ เวลาหลวงปู่ดูลย์พูดชัดเจนมาก ที่เห็นนั้นน่ะเห็นจริงๆ เห็นจริงๆ เห็นโดยอุปาทาน เห็นโดยการคาดหมาย เห็นโดยธรรมชาติของกิเลสที่มันหลอกมันลวง เห็นโดยธรรมชาติของมนุษย์
มนุษย์เกิดมามีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ สัตว์ สิ่งมีชีวิตมีความรู้สึก ความรู้สึกนั้นโดยการโอบอุ้ม โดยการคุ้มครองของอวิชชา อวิชชาคือความไม่รู้มันครอบงำจิตทุกๆ ดวง อวิชชาคือความไม่รู้ครอบงำจิตทุกๆ ดวง แล้วจิตทุกๆ ดวงโดยความไม่รู้แล้วเห็นน่ะ
“จะบอกว่าไม่รู้ได้อย่างไร นี่ไง ตำราชัดๆ เลย บรรทัดนั้นๆ” แต่ในใจเอ็งมีอวิชชา ในใจเอ็งน่ะไม่รู้ ในตำราน่ะถูก แต่ในใจเอ็งผิด เพราะมันตีค่าต่างกัน ไม่อย่างนั้นจะเถียงกันทำไม บาลีเถียงกัน มาเถียงกัน
มันผิด ผิดเพราะใจมึงนั่นแหละ มันผิด ผิดเพราะใจ
แล้วเอ็งรู้เห็นอะไรทั้งหมด ที่รู้เห็นจริงไหม
จริง แต่ความเห็นเอ็งจริงไหม
ไม่จริง ไม่จริง
นี้คำพูดของหลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่ดูลย์ท่านพิจารณาไปแล้ว ครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงนะ ท่านพูดออกมาแล้วเป็นสัจจะ อีกกี่ร้อยปีกี่พันปีก็คัดค้านไม่ได้ สิ่งที่เป็นสัจจะมันจะเป็นสัจจะตลอดไป แต่สิ่งที่ไม่เป็นสัจจะอย่างพวกเรานี่ไงปลิ้นปล้อนไปตลอด เวลาภาวนาไป สิ่งที่ภาวนาไปนะ
เวลาวัฒนธรรมประเพณีสิ่งที่ดีงามทั้งสิ้น เวลาจัดงานบวชยิงกัน ฆ่ากัน ทำลายกัน เวลาจัดงานจัดการก็กินเหล้าเมายากันตลอด นั่นก็เป็นประเพณีวัฒนธรรม แต่ถ้าไม่มีประเพณีวัฒนธรรมมันจะมีพระมาบวชไหม มันจะเป็นชาวพุทธไหม ชาวพุทธจะมีบริษัท ๔ หรือไม่
สิ่งที่ดีงามมันก็มี สิ่งที่ดีงามคือแก่นของศาสนา แต่ผู้ที่เข้ามาอาศัยในศาสนา เข้ามาในพิธีกรรม เข้ามาในวัฒนธรรมนั้นเขาอาศัยอารมณ์โลก อาศัยความสนุกครึกครื้นของเขา อาศัยความคึกความคะนองในหัวใจของเขา แต่เขาก็เป็นชาวพุทธด้วยกันที่มาอยู่ในสังคมนั้น
ในวงการปฏิบัติก็เหมือนกัน ในวงการปฏิบัติ ทุกคน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บอกให้ปฏิบัติบูชาเราเถิด ปฏิบัติบูชาเราเถิด
เราบวชมาเราก็ปฏิบัติมาตั้งแต่ต้นเลย พรรษาแรกธุดงค์มาตลอดเลย เรามุ่งเป้าอย่างเดียวเลย ต้องปฏิบัติให้ได้ ชาตินี้ต้องเอาให้ได้ แล้วเอาให้ได้ หาครูบาอาจารย์ที่ดีที่สุดไง แล้วพยายามปฏิบัตินะ แล้วก็ได้ดีจริงๆ หลวงปู่เจี๊ยะ หลวงตากระทืบแล้วกระทืบอีก
ในรุ่นเดียวกันน่ะ ชื่อสงบ บนศาลาบ้านตาด โอ้โฮ! โดนด่า โดนด่าจนพระทั้งวัดงง มันทำอะไรผิดขนาดนั้น มันทำอะไรผิดขนาดนั้น โดนด่าทุกวัน แต่เขาไม่รู้หรอกว่าในใจเรามีปัญหาเยอะมาก ปัญหาคือว่ากิเลสกับธรรมมันปะทะกันน่ะ แล้วครูบาอาจารย์ท่านไม่มีเวลา
ตอนนี้เรายิ่งเห็นคุณใหญ่ เพราะอะไร เพราะวัดวัดหนึ่ง โอ้โฮ! ประชาชนก็มา ทุกคนก็มา วันทั้งวัน คืนทั้งคืน งานยุ่งขนาดนั้น แล้วจะมาสอนใครคนคนหนึ่งที่ตั้งใจ แล้วมันระยะที่ยาวนาน เป็นระยะยาวนานเพราะมันหลายปี ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ! อยู่อย่างนั้นน่ะ
จะบอกว่า ตั้งใจหาครูบาอาจารย์ที่ดีก็ได้ครูบาอาจารย์ที่ดี ดีจริงๆ แล้วถ้าเราเป็นผู้ที่ปฏิบัติไม่เป็น เป็นลูกแหง่ ต้องการให้คนโอบอุ้ม มันจะต่อต้านนะ มันจะต่อต้าน “ลำเอียง โอ้โฮ! เวลาคนอื่นน่ะดี กับเราร้ายกาจนัก” ทุกคนจะคิดไปอย่างนั้นหมดเลย
แต่เราภูมิใจมาก เวลาท่านดุท่านเอ็ดนั่นน่ะท่านให้อุบาย พอท่านให้อุบาย เราก็กลับจากศาลาทำข้อวัตรเสร็จจะเข้าทางจงกรมตลอด เพราะบอกว่าเดินจงกรมทั้งวันทั้งคืนๆ เวลาท่านเอ็ดท่านดุสิ่งใดก็แล้วแต่มันจะไปตีความเอาในทางจงกรม ปัญญามันจะหมุนตาม
แล้วความเห็นของเรานะ นั้นพระอรหันต์พูด พระอรหันต์บอก มึงขี้ตีน มึงเข้าใจคำพูดนั้นหรือไม่ มึงเข้าใจความการชี้นำของท่านหรือไม่
เดินจงกรมทั้งคืนน่ะ เดินตลอด เพราะการเดินตลอดอย่างนี้มันถึงเห็นไง เหมือนกับว่า ผู้ที่อยู่สูงกว่าท่านพยายามจะชักนำเราขึ้นไป เราพยายามจะปีนบันไดปีนเขา ลื่นอยู่ตีนเขา มันจะเห็นคุณของท่าน มันไม่คิดเหมือนคนทั่วไปไง “น้อยเนื้อต่ำใจ เราโดนท่านเอ็ดตลอด เราโดนท่านทำลายตลอด”
ถ้าทำลายตลอด เวลาปี ๒๕๓๐ มาอยู่โพธารามท่านมาเยี่ยมเราตลอดทุกครั้งทำไม ที่ท่านมาเยี่ยมตลอดทุกครั้งเพราะว่าพ่อกับลูกได้ปะทะกันมาตลอด ท่านรู้ถึงว่าจริงหรือไม่จริง ใช่หรือไม่ใช่
ตั้งแต่ปี ๒๕๓๐ นะ มากรุงเทพฯ ต้องแวะมาโพธารามตลอด แต่ชาวโพธารามมันโง่เขลา มันบอกว่า “เขาไม่มาหาครูบาหรอก เขามาหาโยม”
มันคิดเหมือนพระตลาดไง พระตลาดเขาจะไปหาลาภสักการะ เขาไปหาโยมไง เขาไม่ได้คิดถึงน้ำใจของหลวงตา
สุดท้ายแล้ว พอสุดท้ายปลายชีวิตของท่าน ท่านบอกเลยนะ “ใจถึงใจ โพธารามนี่มาเอง แต่ที่อื่นไปนิมนต์ไม่ไปๆ ใจถึงใจ จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง” แล้วพูดย้ำทุกคราว
แต่ชาวโพธารามบอกว่า “ไม่ใช่ เขาจะมาหาพระเจ๊กโง่ๆ เซ่อๆ ทำไม เขามาหาญาติโยมต่างหาก”
หัวใจที่ต่ำต้อยคิดได้เท่านี้ คิดว่า ตัวเองเป็นผู้ให้ ตัวเองมีทองคำ มีเงินมีทองเพื่อรอถวายท่าน ท่านต้องมาหาเรา นั่นความคิดของโยมไง
แต่ความคิดของพระไม่ใช่อย่างนั้น
หลวงตาท่านพูดประจำ การกิจนิมนต์ของท่าน ท่านพยายามขวนขวายไปเพื่อเอาหัวใจของสัตว์โลก ท่านให้หัวใจของสัตว์โลกมีศรัทธามีความเชื่อมั่นในพระพุทธศาสนา มีความเชื่อมั่นในจิตใจของตน ให้จิตใจของตนเข้มแข็ง นี่ท่านบอกว่าท่านไปเอาหัวใจของสัตว์โลก
แต่ไอ้โยมมันบอกว่า มาหาฉันเพื่ออยากได้ทองคำ อยากได้สิ่งที่ท่านจะถวายเป็นวัตถุทาน
นั้นหัวใจที่มันคนละชั้นมันก็มองคนละชั้น
ถ้าหัวใจที่ดีงาม พระพุทธศาสนา สัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด ในบรรดาสัตว์สองเท้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด ในเมตตาธรรม ในกรุณาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขวนขวายเอาพระพุทธศาสนามาให้พวกเราได้ใช้ธรรมโอสถรักษาหัวใจของคนนั้นมีค่าที่สุด แต่มนุษย์มันโง่ เอวัง